ไวรัสตับอักเสบ


   ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ปกติจะมีน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม โดยอยู่หลังกระบังลม
หน้าที่ของตับ
·       เป็นคลังสะสมอาหาร เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน เอาไว้ใช้ และปล่อยเมื่อร่างกายต้องการ
·       สังเคราะห์สารต่างๆ เช่น น้ำดี สารควบคุมการแข็งตัวของเลือด ฮอร์โมน
·       กำจัดสารพิษ และสิ่งแปลกปลอม เช่นเชื้อโรค หรือยา 
โรคตับชนิดต่างๆ
ตับมีโอกาสเป็นโรคต่างๆได้แก่ โรคตับอักเสบ hepatitis โรคตับแข็ง [cirrhosisมะเร็งตับ[liver cancer] โรคไขมันในตับ [fatty liver] โรคฝีในตับ [liver abscess]
โรคตับอักเสบมี 2 ชนิด
1.โรคตับอักเสบเฉียบพลัน [acute hepatitis] หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3 สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต
2.โรคตับอักเสบเรื้อรัง [chronic hepatitis] หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด
·       chronic persistent เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก

·       chronic active hepatitis.มีการอักเสบของตับ และตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง
สาเหตุของโรคตับอักเสบ
1.             เชื้อไวรัส มีหลายชนิดได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ ,,ซี,ดี,อี
2.             เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
3.             ยาบางชนิด เช่น ยารักษาวัณโรค halothane, isoniazid, methyldopa, phenytoin, valproic acid, sulfonamide drugs. ผู้ป่วยหากได้ acetaminophen (พาราเซ็ตตามอล)ในขนาดสูงมากก็สามารถทำให้ตับถูกทำลายได้
4.             เชื้อโรคบางชนิด เช่น ไทฟอยด์,มาลาเรีย

                การอักเสบของตับจะทำให้ตับบวม มีการทำลายเซลล์ตับ ทำให้มีอาการอ่อนเพลียจากการทำงานผิดปกติของตับ หากการอักเสบเกิดขึ้นเป็นเวลานานจะทำให้ตับถูกทำลายมาก และถูกแทนที่ด้วยพังผืด ทำให้ตับมีแผลเป็น และมีลักษณะแข็งเป็นตุ่มๆ แม้ว่าสาเหตุของตับอักเสบจะมีมากมายแต่สาเหตุที่สำคัญคือไวรัสตับอักเสบ ปัญหาโรคตับอักเสบ บี และโรคตับอักเสบเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลก การดำเนินของโรคตับอักเสบ บี และโรคตับอักเสบ ซีสามารถดำเนินเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง เป็นตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับ เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทางครอบครัว ทางเศรษฐกิจเป็นอันมาก ดังนั้นการเข้าใจถึงโรคตับอักเสบ ซึ่งรวมถึงการติดต่อ การดำเนินของโรค การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันการติดต่อซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดูแลและช่วยลดจำนวนผู้ป่วยลง
ไวรัสตับอักเสบมีกี่ชนิด

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ


ผู้ป่วยดีซ่านตาขาวและผิวจะมีสีเหลือง
·       ตับอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อย คือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจจะพบผื่นตามตัว หรืออาการท้องเสีย บางรายปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป 1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือน ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ โรคไวรัสตับอักเสบ บี พบว่าร้อยละ 5-10 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ร้อยละ 85 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
·       ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นตับอักเสบ
หากสงสัยว่าจะเป็นโรคตับอักเสบท่านควรไปรับการตรวจเลือดเพื่อหาว่ามีการติดเชื้อหรือไม่โดย
1.             ตรวจการทำงานของตับ โดยการหาระดับ SGOT[AST],SGPT [ALT]ค่าปกติน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าค่ามากกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ หากพบว่าผิดปกติแพทย์จะขอตรวจเดือนละครั้งติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน การแปรผลเลือด
2.             การตรวจหาตัวเชื้อ
3.             ไวรัสตับอักเสบ เอ ตรวจหา Ig M Anti HAV
4.             ไวรัสตับอักเสบ บี ตรวจหา HBsAg ถ้าบวกแสดงว่ามีเชื้ออยู่   Anti HBs ถ้าบวกแสดงว่ามีภูมิต่อเชื้อ  HBeAg ถ้าบวกแสดงว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA เป็นการตรวจเพื่อหาปริมาณเชื้อ
5.             ไวรัสตับอักเสบ ซี Anti-HCV เป็นการบอกว่ามีภูมิต่อเชื้อ  HCV-RNA ดูปริมาณของเชื้อ
6.             การตรวจดูโครงสร้างของตับ เช่นการตรวจคลื่นเสียงเพื่อดูว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่
7.             การตรวจชิ้นเนื้อตับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวินิจฉัยความรุนแรงของโรค
การรักษา
การเลือกใช้ยาจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเนื่องจากยามีผลข้างเคียงที่พึงระวังหลายอย่างยาที่ใช้อยู่มี interfeon และ lamuvudin
การปฏิบัติตัว
·       หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่มีการอักเสบของตับ แต่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอในตับอักเสบเรื้อรังสามารถทำได้
·       งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
·       รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างพอเพียง ไม่ต้องดื่มน้ำหวานมากๆ เพราะทำให้ไขมันสะสมที่ตับเพิ่มขึ้น
โรคไวรัสตับอักเสบ เอ Hepatitis A
ข้อเท็จจริงที่ควรทราบเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ เอ
·       โรคไวรัสตับอักเสบ เอเกิดเชื้อไวรัสซึ่งสามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับ ตั้งแต่อาการน้อยจนถึงรุนแรงมาก
·       การแพร่เชื้อจะเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อ
·       การเกิดการระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบ เอเกิดจากระบบสาธารณสุขเรื่องน้ำ และสิ่งแวดล้อมไม่ดี
·       การระบาดจะทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ
·       การปรับปรุงระบบสาธารณสุข และการฉีดวัคซีนจะป้องกันการระบาดของโรค

การติดเชื้อ
                การติดต่อของโรคเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบเข้าไป นอกจากนั้นอาจจะเกิดจากการสัมผัสโดยตรงซึ่งเกิดไม่บ่อย ไวรัสตับอักเสบ เอ ติดต่อโดยการรับประทานเชื้อเข้าไป การติดต่ออาจจะเกิดจากรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อเข้าไป หรืออาจจะเกิดจากการติดเชื้อจากคนหนึ่งสู่อีกคน เชื้อนี้ไม่ติดต่อทางน้ำลายหรือปัสสาวะ
ระยะติดต่อ
                ระยะเวลาที่จะติดต่อคนอื่นได้ง่ายที่สุดคือระยะเวลาก่อนเกิดอาการ 2 สัปดาหและอาจจะอยู่ได้หลายสัปดาห์หลังจากมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองแล้ว โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ผลเลือดมีการอักเสบของตับ แม้ว่าผลเลือดจะกลับสู่ปกติเราก็ยังสามารถพบเชื้อในเลือดของผู้ป่วย
ระยะ3-10 วันก่อนเกิดอาการเราจะพบเชื้อปริมาณมากในอุจาระจนกระทั้งสองสัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะที่ติดเชื้อได้ง่ายที่สุดโรคนี้มักจะไม่ติดต่อทางการให้เลือดเนื่องจากช่วงที่มีเชื้อในกระแสเลือดผู้ป่วยมักจะเกิดอาการของโรคแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรสตับอักเสบ เอก่อนการบริจาคเลือด
อาการของผู้ป่วย
ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปีมักจะไม่มีอาการแสดงอะไร สำหรับวัยรุ่นขึ้นไปพบว่าร้อยละ70-90 จะมีอาการของตับอักเสบ อาการที่สำคัญได้แก่
·       มีไข้
·       อ่อนเพลีย
·       เบื่ออาหาร
·       คลื่นไส้อาเจียน
·       แน่นชายโครงขวา
·       ท้องร่วง
·       ปัสสาวะสีเข็ม อุจาระซีด
·       และ มีอาการตัวเหลืองตาเหลืองที่เรียกว่าดีซ่าน
·       โดยทั่วไปอากาจะหายไปใน 2 เดือน บางรายอาการอยู่ได้ 6 เดือน ผู้ป่วยมักจะมีอาการหลังจากได้รับเชื้อ 28 วัน (15-50 วัน)
·       ผู้ใหญ่จะมีอาการและความรุนแรงมากกว่าเด็ก ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการอาจจะไม่ครบทุกอย่าง
ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อได้แก่
·       ผู้ที่อาศัยในบ้านหรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย
·       เจ้าหน้าที่บุคคลากรทางการแพทย์
·       นักท่องเที่ยวจากประเทศพัฒนาไปยังระเทศที่มีการระบาด
·       ประชาชนที่อาศัยในประเทศที่มีการระบาด
·       เด็กหรือเจ้าหน้าที่ในศูนย์เลี้ยงเด็ก
·       ผู้ที่อาศัยในชุมชนแออัด
·       ผู้อพยพที่อาศัยในที่พักชั่วคราว
·       ชายรักร่วมเพศ
·       ผู้ที่ใช้ยาเสพติด
·       โรคเลือดที่ต้องรับการถ่ายเลือดบ่อย
·       ผู้ที่เป็นโรคตับ
·       ผู้ที่ทำอาหาร
·       คนที่ทำงานเกี่ยวกับลิง
·       นักท่องเที่ยวไปยังถิ่นระบาด
การป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ
การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ มีได้ 2 วิธีคือ
1.             Immune globulin เป็นภูมิต่อไวรัสตับอักเสบ เอ จะให้ในกรณีต้องการป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ ในระยะสั้น เช่น ให้เพื่อป้องกันก่อนสัมผัสโรค หรือให้หลังสัมผัสโรคไม่เกิน 2 สัปดาห์

2.             Hepatitis A vaccine จะใหในกรณีเด็กอายุมากกว่า 2 ขวบที่เสี่ยงต่อการไดัรับไวรัสตับอักเสบเอ และ เมื่อได้รับเชื้อจะเกิดอันตราย อ่านเรื่องการป้องกันไวรัสตับอักเสบเอขนาดของวัคซีน  ฉีด 3 เข็ม เดือนที่ฉีดคือเดือน 0 ครั้งต่อไป 6 และ 12 เดือน ตามลำดับ
โรคไวรัสตับอักเสบ บี Hepatitis B คืออะไร
                โรคตับอักเสบ บี เป็นการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบ บีโดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับซึ่งส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายตับ
อาการของผู้ป่วยโรคตับอักเสบ บี
อาการจะเกิดหลังได้รับเชื้อประมาณ 45-90 วัน บางรายอาจจะนานถึง 180 วันผู้ป่วยที่เป็นแบบเฉียบพลันจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามตัวมีไข้ แน่นท้อง ถ่ายเหลวเป็นอยู่ 4-15 วันหลังจากนั้นจะมี ตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะสีเข็ม อาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไปภายใน 1-4 สัปดาห์บางรายอาจเป็นนานถึง 6 สัปดาห์ จึงสามารถทำงานได้ปกติ
การรักษา
ส่วนใหญ่หายเองได้โดยการพักผ่อน และรับประทานอาหารไม่มัน การให้ยา interferon หรือ lamivudine ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
Hepatitis B surface antigen (HBsAg): เป็นโปรตีนที่อยู่บนผิวของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี HBV จะพบโปรตีนนี้ในปริมาณที่ค่อนสูงสูงในผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน หรือเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง การพบโปรตีนนี้จะบ่งบอกว่าผู้นั้นยังสามารถแพร่สู่ผู้อื่นได้

Hepatitis B surface antibody (anti-HBs): การตรวจพบภูมิต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีร่างกายสร้างภูมิต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีซึ่งแสดงว่าร่างกายเริ่มจะหายจากโรคตับอักเสบ การพบภูมิต่อไวรัสตับอักเสบ บียังพบได้ในผู้ป่วยที่ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
Total hepatitis B core antibody (anti-HBc):โปรตีนชนิดนี้จะเริ่มพบตั้งแต่เริ่มต้นการติดเชื้อ และจะพบตลอดชีวิต การตรวจพบโปรตีนชนิดนี้แสดงถึงว่าเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มาก่อน
IgM antibody to hepatitis B core antigen (IgM anti-HBc):การตรวจพบโปรตีนชนิดนี้หมายถึงว่าเพิ่งจะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีไม่เกิน 6 เดือน
Adapted from: A Comprehensive Immunization Strategy to Eliminate Transmission of Hepatitis B Virus Infection in the United States: Recommendations of the Advisory Committee on Immunization Practices. Part I: Immunization of Infants, Children, and Adolescents. MMWR 2005;54(No. RR-16).
หากท่านติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ท่านจะปฏิบัติตัวอย่างไร
เมื่อท่านตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ท่านควรจะขอรับคำแนะนำจากแพทย์ในการดูแลตัวเอง และต้องคำนึงถึงบุคคลใกล้ชิดด้วยเพราะท่านอาจจะนำเชื้อไปสู่คนใกล้ชิด วิธีการปฏิบัติตัวหากท่านมีเชื้ออยู่ในร่างกาย
·       หากท่านเป็นตับอักเสบ บี ท่านไม่ต้องกังวลเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองและมีภูมิคุ้มกัน
·       รับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
·       รับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการตรวจเลือดจะทำให้ทราบว่าตับท่านมีการอักเสบมากหรือน้อย
·       บอกให้คนใกล้ชิดทราบ หากคนใกล้ชิดไม่มีภูมิหรือเชื้อต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบ
·       มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการสวมถุงยาง
·       อย่าบริจาคเลือด
·       ไม่ดื่มสุราของมึนเมา
·       ไม่ใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
·       พักผ่อนให้เพียงพอ

ไวรัสตับอักเสบ ซี Hepatitis C
ท่านผู้อ่านคงคุ้นเคยกับไวรัสตับอักเสบ บี แต่ถ้าท่านติดตามโรคตับอักเสบท่านจะพบว่าไวรัสตับอักเสบ ซีเพิ่มขึ้นเนื่องจากพบได้บ่อยมากขึ้น พบได้ประมาณ 1-2% ของคนที่มาบริจาคเลือด หลังเป็นตับอักเสบแล้วก็มีแนวโน้มจะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง  20% ของผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังชนิด ซี จะเป็นตับแข็งภายใน 10-20 ปี บางส่วนกลายเป็นมะเร็งตับ
ปัจจัยเสี่ยงและการติดต่อ
                ไวรัสตับอักเสบ ซี ติดต่อทางเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน แต่มีผู้ป่วยบางท่านได้รับเชื้อโดยไม่ทราบแหล่งที่มาปัจจัยเสี่ยงได้แก่
·       ผู้ที่เคยได้รับเลือด และ สารเลือดก่อนปี คศ 1992 เนื่องจากยังไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี
·       เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ได้รับอุบัติเหตุถูกเข็มตำ
·       ผู้ป่วยติดยาเสพติดใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
·       ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ ซี พบได้ร้อยละ 5
·       ผู้ที่สำส่อนทางเพศ หรือ รักร่วมเพศ
·       ไดรับเชื้อจากการสักตามตัว
อาการของผู้ป่วย
ผู้ที่เป็นตับอักเสบ ซี เรื้ออาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่ไม่มาก อาการที่พบได้คือ
·       อ่อนเพลีย
·       เบื่ออาหาร
·       คลื่นไส้อาเจียน
·       ปวดชายโครงขวา
·       ปวดกล้ามเนื้อและ ปวดข้อ
การรักษา
·       โดยการให้ alpha interferon 
·       ให้ยาสองขนานคือ  alpha interferon and ribavirin.
·       ควรไดรัการฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ เอ และ บี
วิธีป้องกันตับไวรัสอักเสบ ซี
·       ห้ามใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
·       ให้สวมถุงมือถ้าต้องสัมผัสเลือด
·       ห้ามใช้มีดโกนหนวด แปรงสีฟันร่วมกัน
·       ห้ามใช้อุปกรณ์ในการสักร่วมกัน
·       ให้ใช้ถุงยางคุมกำเนิดถ้าหากมีเพศสัมพันธ์หลายคน
·       ถ้าคุณเป็นตับอักเสบ ซีห้ามบริจาคเลือด
โรคไวรัสตับอักเสบ ดี Hepatitis D (Delta) Virus 
การแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบ ดี ต้องอาศัยการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบ บี
อาการ
                ผู้ป่วยมักจะได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และไวรัสตับอักเสบ ดี พร้อมกัน ผู้ป่วยจะมีอาการของตับอักเสบที่รุนแรง และมีโอกาสที่เป็นตับวายเสียชีวิตได้ ส่วนผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ก่อน แต่ไดรับ ไวรัสตับอักเสบ ดี ภายหลังผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และตับแข็ง
การติดต่อ
เหมือนไวรัสตับอักเสบ บี
การวินิจฉัย
1.             ตับอักเสบ บี ร่วมกับ ตับอักเสบ ดี ตรวจเลือดจะพบ HbAg ,IgM anti-HDV,IgG anti-HDV ให้ผลบวก
2.             ผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบ บี อยู่ก่อน แต่ได้รับไวรัสตับอักเสบ ดี ภายหลังตรวจเลือดจะพบลัษณะดังนี้
·       ปริมาณของเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี [ HbAg ]มีปริมาณน้อย
·       สามารถตรวจพบ HDAg และ HDV RNA ในกระแสเลือด
·       ตรวจพบ IgM and IgG anti-HDV ระดับสูงในกระแสเลือด

การป้องกัน
ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ด้วยการลดความเสี่ยง และการใช้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี

ไวรัสตับอักเสบ อี Hepatitis E Virus
เป็นไวรัสตับอักเสบที่ติดต่อโดยการรับประทานเมื่อสมัยก่อนเรียก non-A, non-B hepatitis โรคนี้มักจะหายได้เองใน 4-6 สัปดาห์ แต่ก็อาจจะรุนแรงถึงกับตับวายจนเสียชีวิต โรคนี้พบมากในในเอเซีย
การติดต่อ
โรคนี้ต่อทางการได้รับเชื้อทางปาก
·       รับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ
·       ติดต่อจากสัตว์ที่ติดเชื้อ
·       ติดต่อทางการถ่ายเลือด
·         ติดต่อจากแม่ไปลูก
อาการ
                ผู้ป่วยจะเกิดอาการหลังได้รับเชื้อตั้งแต่ 15-60 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนตับอักเสบที่เกิดจากเชื้อชนิดอื่นกล่าวคือ  มีอาการปวดท้อง ตัวเหลือง เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน สามารถตรวจพบเชื่อในอุจาระได้ 14 วันหลังเกิดอาการวันแรก อาการมักจะเกิดในผู้ที่อายุ 15-40 ปี สำหรับเด็กมักจะไม่มีอาการ อาการที่
การป้องกัน
·       ดื่มแต่น้ำต้มสุก ล้างมือให้สะอาด
·       รับประทานอาหารที่สุก
·       ยังไม่มีวัคซีนป้องกันตับอักเสบชนิดนี้
·       ผลและผลไม้ต้องล้างให้สะอาด
การรักษา
ยังไม่มีการรักษา ประเทศจีนมีการผลิตวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบชนิดนี้





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น